อย่างที่หลายๆคนรู้…”น้ำตากามเทพ”เป็นซีรีส์เสียดสีล้อเลียนวงการละครไทย
ถึงแม้ว่านักแสดงและทีมงานบางส่วนจะเคยให้สัมภาษณ์ว่าซีรีส์ชุดนี้เป็นซีรีส์ที่ต้องการ tribute ถึงวงการละครไทยไปในตัว แต่ผมมองว่าเราสามารถจัดหมวดหมู่ภาพยนตร์ล้อเลียนได้สองแบบ คือ…
1) หนังล้อเลียนที่ให้ความเคารพภาพยนตร์ต้นฉบับ ดูแล้วทำให้เราอยากไปดูหนังต้นฉบับนั้นอีกครั้งรวมถึงมันยังคงความสนุกต่อผู้ชมในหมู่มากได้ ไม่ว่าจะเคยดูภาพยนตร์ต้นฉบับหรือไม่ก็ตาม หนังในข่ายนี้เช่น Spaceballs, Top Secret! (คนละอันกับของ GTH นะ), Silent Movie,Return of Killing Tomatoes,Airplane! เป็นต้น
2) หนังล้อเลียนที่ไม่มีิอะไรเลยนอกจากถมๆมุขตลกให้มันเต็ม ใส่อะไรก็ได้ที่กำลังฮิต ณ ตอนนั้นแล้วทำให้มันตลกทั้งๆที่ไม่ต้องใส่ก็ได้ ดูจบแล้วจำอะไรแทบไม่ได้เลยจริงๆ หนังในข่ายนี้เช่น Disaster Movie และหนังหลายๆเรื่องของ Seltzer & Friedberg
เคราะห์ดีที่น้ำตากามเทพอยู่ในข่ายแรก…จะว่าไปประเทศไทยเราต้องการละครแบบนี้มานานนมแล้ว พูดก็พูดเหอะ กี่ครั้งในชีวิตแล้วที่คุณต้องเห็นละครแนวเกลียดชิ่งปิ๊งรัก/ละครที่นางเอกต้องปลอมเป็นชาย และละครแนวตบจูบ? ทั้งหมดนี้ถูกผลิตซ้ำออกมาแล้วไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง คนดูทั่วประเทศแทบจะเดาตอนจบได้แล้ว (ถึงเดาไม่ได้ก็มีคู่มือเฉลยละครออกมาวางขายทั่วประเทศรวมถึงมีหนังสือพิมพ์ลงเรื่องย่อทุกวัน น่าจะเป็นที่เดียวในโลกที่มีแบบนี้) แต่เราก็ดู พูดกันแบบตรงไปตรงมาเมื่อก่อนผมก็ไม่ชอบละครน้ำเน่า แต่พอดูไปหลายๆเรื่องก็รู้เลยว่าทำไม? พล็อตมันห่างไกลจากความจริงมากถึงมากที่สุด ถึงตัวละครมันไม่มีพัฒนาการใดๆเลยและหลายครั้งตัวละครก็จะแบนๆ มีมิติเดียว แต่เรามักจะมองว่านางเอกผู้น่าสงสารนั้นมีชะตากรรมใกล้เคียงกับในชีวิตเราและมองว่าเราต้องการชนะตัวอิจฉาและอุปสรรคขวากหนามต่างๆในเรื่องให้ได้ ไม่ต่างกับในชีวิตจริง คือโอเค อันที่จริงผมสามารถพรรณาถึงข้อดีข้อด้อยของวงการละครน้ำเน่าไทยได้อีกโข แต่นี่มันคือบทความรีวิวน้ำตากามเทพ! เพราะฉะนั้นผมขอใช้พื้นที่นี้อย่างถูกต้องจะดีกว่า
เผื่อคุณยังไม่ทราบ น้ำตากามเทพเป็นซีรีส์ของ GTH ที่ผลิตร่วมกับหับโห้ฮิ้น บางกอก (ที่ดูแลในส่วนของการถ่ายทำ) โดยมีปูมหลังมาจากละครสั้นในหนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ผมเองก็เกือบจะลืมๆละครเวอร์ชั่นแรกไปแล้วถ้าไม่ได้มาเห็นคลิปใน YouTube ซึ่งมันฮามาก ไม่ต่างจากครั้งแรกที่ผมดูเมื่อหลายปีก่อนเลย แต่ในที่สุดทาง GTH ก็ตัดสินใจนำละครสั้นตัวนี้มาทำเป็นซีรีส์แบบจริงๆจังๆ โดยเสียดสีวงการละครไทยในหลายๆเรื่อง ดังจะได้กล่าวต่อไป
ทำไมผมถึงตามดู?
ในตอนแรกผมเห็นตัวทีเซอร์โปรโมตละครก่อน (ถือเป็นเครื่องมือโปรโมตละครที่ดี โดยใช้หลัก Viral Marketing) ก็โอเค มันตลกดี แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าอยากดูแบบทันทีทันใด และหลังจากที่ละครออกอากาศไป 1 ตอนผมพบว่ากระแสมันสุดโต่งมากทั้งสองฝ่ายคือชอบก็ชอบไปเลย ไม่ชอบก็ไม่ชอบเลย ผมจึงตัดสินใจรอดูตอนที่ 2 ของละครในคืนวันเสาร์ที่ออกอากาศ…ผมค่อนข้างผิดหวังนะ คือรู้สึกว่ามุขตลกมันยัดเยียดไปหน่อย เดาว่าคงเป็นเพราะในตอนแรกๆคนดูยังไม่รู้พื้นฐานตัวละครมากนัก เลยเอาเรื่องเหล่านี้มาใช้เป็นมุขไม่ได้มากเท่าไหร่
ผมคงจะเลิกดูไปแล้ว ถ้าไม่กี่วันจากนั้นช่อง 7 เอา ATM เออรัก เออเร่อมาฉาย ซึ่งถึงแม้ผมจะเคยดูมาแล้ว แต่รอบนี้ผมถูกจู่โจมโดยไม่เจตนาจาก…
ใช่ครับ ผมโดนอีงูพิษของทุกท่านเล่นงานเข้าให้ นอกจากจะส่งผลให้เธอเป็นดาราที่ผมปลื้มในช่วงนี้ เธอทำให้ผมกลับมาตามดูตอนที่ 3 ต่อ ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนทั้งตัวซีรีส์ที่เริ่มปรับมุขให้ดีขึ้นรวมถึงผมเองก็มีทัศนคติที่ดีขึ้นกับซีรีส์ เผลออีกทีก็ดูจนจะจบซีรีส์แล้ว
รู้หรือยังครับว่าทำไมเวลาผมเขียนรีวิวในทวิตผมถึงต้องเรียกไพโรจน์ว่า “ไพโรจน์ผู้น่ารัก” เสมอๆ?
โครงเรื่อง
ตัวละครจะเป็นการผสมผสานละคร 3 แบบเข้าไว้ด้วยกัน โดยตัวละครทั้งหมดในเรื่องจะมีความสัมพันธ์ในทางใดทางหนึ่ง ไม่ได้แบ่งเป็นสามเรื่องย่อยแต่อย่างใด สามารถแบ่งได้หยาบๆดังนี้
– คู่มาตรฐาน
อารยา เด็กกำพร้าที่ถูกหญิงย่าแห่งตระกูลอัมราภรณ์เก็บมาเลี้ยงและถูกชาวี ทายาทของตระกูลกลั่นแกล้งตั้งแต่เด็ก พอเวลาผ่านไปทั้งคู่มาเจอกันอีกครั้งและถูกหญิงย่าบังคับให้แต่งงานด้วยกัน อุปสรรคของความรักนอกเหนือจากตัวชาวีที่จงเกลียดจงชังอารยามาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็คือหญิงแม่ มารดาของชาวีที่ดูถูกอารยามาตั้งแต่บรรพกาลรวมถึงดีดี้ แฟนของชาวีสมัยเรียนเมืองนอกที่คอยวางแผนเล่นงานอารยาเรื่อยๆ…แต่ละครไทยก็งี้แหละครับ สุดท้ายก็เกลียดชิ่งปิ้งรักตามสูตร
– คู่ทัดดาวบุษยา
ไพลิน หญิงสาวผู้ทราบว่าตนคือทายาทที่แท้จริงของตระกูลอัมราภรณ์ได้ปลอมเป็นผู้ชายชื่อไพโรจน์มาสมัครเป็นคนสวนในบ้านเพื่อค้นหาความจริง เธอทำงานไปเรื่อยๆจนกระทั่งเธอได้พบกับหมอแมะ หมอประจำตระกูลอัมราภรณ์ที่กำลังโศกเศร้าได้ที่หลังรู้ว่าผู้หญิงที่เขาแอบชอบอย่างอารยาต้องแต่งงานกับเพื่อนของเขาอย่างชาวี หมอแมะตกหลุมรักไพโรจน์ตั้งแต่แรกทั้งๆที่เขารู้เต็มอกว่าไพโรจน์เป็น “ผู้ชาย”…แต่ละครไทยก็งี้แหละครับ ไม่มีอะไรขัดขวางความรักของหมอแมะได้อยู่แล้ว
– คู่จำเลยรัก
ชลลี่ น้องสาวของชาวีถูกลักพาตัวไปอยู่บนเกาะของพิศาล ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นหลังจากที่ดีดี้ไปหลอกไถเงินพ่อเขาจากการทำธุรกิจ เดี๋ยวนะ…เมื่อกี้ผมพูดว่าดีดี้ใช่ไหม? นั่นหมายความว่าพิศาลจับมาผิดคนครับ แต่ละครไทยก็งี้แหละ ตบกันไปตบกันมาสุดท้ายก็รักกัน
วิจารณ์ตัวละคร
– ชาวี
คุณชายขี้โมโหผู้รักการใส่สูททุกที่ทุกเวลา เขาเป็นตัวแทนของพระเอกละครไทยได้ดีเนื่องจากว่าถึงแม้จะไม่ค่อยมีพัฒนาการในตลอดสิบกว่าตอนเลย แต่เขามีทุกอย่างที่พระเอกละครไทยพึงมี ทั้งมาดขรึม อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นลงง่าย วาจาเชือดเฉือน รวมไปถึงพฤติกรรมสไตล์เอะอะจับปล้ำ คือเอาจริงๆพฤติกรรมแกไมไ่ด้โดดเด่นหวือหวาหรือมีหลายมิติหรอกครับ มันก็คงคล้ายๆละครไทยทั่วไปนั่นแล
– อารยา
นี่คือตัวละครที่มีพัฒนาการที่เห็นได้ค่อนข้างชัด เข้าใจว่าต้องการล้อเลียนนางเอกทั้งแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ไปด้วย โดยในสองตอนแรกอารยาคือนางเอกที่เรียบร้อยดุจผ้าพับไว้ เธอขี้แย ร้องไห้ โดนจิกหัวกลั่นแกล้งตลอด แต่หลังจากที่เธอเปลี่ยนโฉมเป็นสาวมั่นแล้ว เธอสู้คนมากขึ้น เถียงคำไม่ตกฟากกับพระเอกมากขึ้นและกล้าต่อกรกับกองทัพตัวร้าย (ถึงแม้จะมีแอบร้องไห้บ้างแต่ไมไ่ด้ถี่เหมือนตอนแรกๆแล้ว) ซึ่งอย่างหลังนี่เองที่สะท้อนค่านิยมของนางเอกสมัยใหม่ที่สู้คนมากขึ้น ไม่ใช่ร้องไห้ทุกตอนราวกับดอกโศกหรือพจมาน
ผมไม่แน่ใจนะว่าปัจจัยที่ทำให้เธอเปลี่ยนพฤติกรรม? แต่เดาว่าการมานั่งดูนางเอกนั่งร้องไห้ทั้ง 10 กว่าตอนคงทรมานตายโหงทั้งผู้แสดงอย่างคุณแพตตี้และตัวผู้ชมเอง ก็เลยต้องปรับพฤติกรรมกันหน่อย อีกอย่างคืออารยาคงโดนกดดันแต่เด็กแล้ว คงถึงเวลาระบายกันบ้าง
– ไพลิน (ไพโรจน์)
เป็นตัวละครที่มีความทะเยอทะยานแบบสมเหตุสมผลที่สุด หากท่านไม่นับดีดี้ที่วันๆกะจะจับชาวีลูกเดียว เพราะในตอนแรกละครนำเสนอไพลินว่าเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร เธอเป็นหญิงต่างจังหวัดที่อยู่กับแม่ในเรือกสวนไร่นา โดยก่อนที่แม่เธอจะตายเธอเปิดเผยความลับว่าเธอไม่ใช่แม่แท้ๆของไพลินและได้บอกให้ไพลินมาหาความจริงที่บ้านของตระกูลอัมราภรณ์ ซึ่งในตอนแรกเธอถูกอารยาจับได้และได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกันเพื่อขอความช่วยเหลือในการสืบคดี ต่อมาหมอแมะตกหลุมรักเธออีก แต่เธอไม่สนครับ เธอยังเดินหน้าหาความจริงต่อไปแม้ลึกๆจะแอบหวั่นไหว
ในเวลาต่อมาหลังจากรู้ความจริงแล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอเหี้ยมพอที่จะตัดมิตรกับอารยาและปฏิเสธรักต่อหน้าหมอแมะครับ เธอตัดสินใจที่จะเปิดโปงความลับทั้งหมดด้วยตัวเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพราะเธอต้องการประกาศตนว่าเธอคือทายาทที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเพราะเธอต้องการทวงคืนความยุติธรรมหรือหวังหุบสมบัติโดยลึกๆก็ตาม
เนื่องจากว่าน้ำตากามเทพเป็นละครไทย หากตอนจบไม่ได้หักมุมแบบดุเดือดเลือดพล่านแบบที่เราเห็นกัน ในที่สุดเธอจะมีชีวิตในตอนจบที่มีความสุข แต่ถ้านี่คือซีรีส์ฝรั่ง คุณสามารถหักมุมได้อีกแบบว่าไพลินคือตัวร้ายผู้ทะเยอทะยาน เธอกล้าทำลายเพื่อนและคนรักเพียงเพื่อต้องการที่จะหวังทรัพย์สมบัติภายในบ้าน (พูดง่ายๆคือเธอไม่เหลือเจตนาเรื่องความยุติธรรมอยู่แล้ว เธอมาด้วยความแค้นและความโลภล้วนๆ) โดยในตอนจบเธอได้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างครับ แต่เธอไม่เหลือใครเลยในชีวิต ตอนจบเธอเป็นบ้าและกลายเป็นฆาตกรโรคจิตที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดในเวลาต่อมา โดยเธอจะเลือกสังหารเหยื่อที่มีฐานะดีเป็นหลักเพราะคำว่า “ฐานะ” นี่เองที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในภวังค์ทุกข์แบบนี้…หรือจะจบแบบพล็อตหนัง Psycho ก็ได้ที่หลังจากนี้เธอจะมีปูมหลังคล้ายๆ Norman Bates สามารถอ่านแนวคิดดังกล่าวได้ท้ายบทความนี้ครับ
มุขที่เอามาล้อ
เนื่องจากว่ามันเป็นละครตลก น้ำตากามเทพจะอุดมไปด้วยทุกสิ่งที่อย่างที่ไม่สามารถอธิบายด้วยหลักเหตุและผลได้ ไล่มาตั้งแต่การล้อขนบละครไทยที่จู่ๆนางเอกก็รักพระเอกได้ทั้งๆที่โดนทรมานอย่างหนัก (เห็นได้ชัดในคู่จำเลยรัก) ไปจนถึงการที่ทีมงานแคสต์คุณปุ๊กกี้ให้มารับบทชลลี่ น้องสาวของชาวีทั้งๆที่เธออายุน้อยกว่าคุณกิ๊ก มยุริญผู้รับบทเป็นหญิงแม่เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น! อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเกี่ยวกับละครคือเขาจะแต่งภาพออกมาให้สีตุ่นๆ ดูแล้วเหมือนหนังโฆษณาของโปรดักชั่นเฮ้าส์อย่าง Phenomena ที่ชอบทำโฆษณาจิกกัดค่านิยมหรืออะไรก็ตามในลักษณะ Thailand Only…ซึ่งมันก็สอดคล้องกับสิ่งที่น้ำตากามเทพนำเสนอด้วย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด”น้ำตากามเทพ” ได้ล้อมุขต่างๆของละครไทยที่ออกมาให้เราเห็นแทบทุกปี ต่อไปนี้คือมุขเท่าที่ผมนึกออก
– ตัวร้ายจอมพล่าม
เป็นมุขที่คลาสสิคและน่ารำคาญมากในละครไทย เอาจริงๆไม่ใช่แค่ละครไทยหรอกครับ James Bond หลายภาคเลยที่ตัวร้ายมันควรจะยิงพี่บอนด์ทิ้งได้แล้ว แต่มันพล่ามอยู่นั่นแหละจนถึงแก่ความตายในที่สุด ส่วนในน้ำตากามเทพได้ล้อขนบนี้โดยให้ผู้ร้ายที่หวังจะขืนใจอารยากระทำการพล่ามแหลกแบบตัวโกงหนังไทย พล่ามจนกระทั่ง SD Card เต็มแล้วก็ยังไม่ปล้ำ พล่ามแม่มอยู่นั่นแหละ
– กระโดดบังตัวเพื่อให้ถูกยิง
เป็นมุขละครไทยที่ผมเกลียดที่สุดตลอดกาล (ตีคู่มากับประโยค “คุณจะดุด่าว่าดิฉันยังไงก็ได้ แต่ได้โปรดอย่าลามปามถึงคุณแม่ของดิฉันเลยนะคะ” ฟังประโยคนี้ที่ไรอยากชกหัวตัวเองแบบในหนัง Fight Club ทันที….น่าเสียดายที่น้ำตากามเทพไม่ใส่บทพูดนี้) มุขนี้จะอยู่ในตอนเกือบจบของละครเสมอๆ โดยพระเอกจะทำการเอาตัวบังนางเอกที่กำลังจะถูกผู้ใช้ยิง ที่ผมมองว่ามันงี่เง่าเพราะแทนที่พระเอกจะกระทำการแท็กตัวนางเอกแบบนักอเมริกันฟุตบอล คุณพี่แกเล่นยืนบังเลย ผมจะไม่มีปัญหาใดๆกับมุขนี้หากสองนาทีถัดมาพระเอกเฉลยตัวว่าเขามาจากดาวคริปตอนหรือเป็นสมาชิกทีม The Avengers แต่สิ่งที่เราๆท่านๆเห็นคือพี่พระเอกแกนอนชักดิ้นชักงออยู่ตรงนั้น
น้ำตากามเทพล้อมุขนี้ในตอน 11 แต่คนที่ออกมาบังกลับเป็นชลลี่ที่ยืนบังพิศาล
– มุขเข้าใจผิด
ผมเกลียดมุขนี้มากพอๆกับมุขข้างบนครับ มันจะต้องมีฉากที่พระเอกเข้าใจผิดคิดว่านางเอกไปชอบชายอื่น โดยพระเอกจะเดินเข้ามาเห็นนางเอกกำลังพูดคุยอยู่กับชายอื่น ทำให้พระเอกเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจไม่ก็โมโห คิดว่านางเอกมีชู้ ซึ่งน้ำตากามเทพเป็นแบบหลังเนื่องจากพฤติกรรมขี้โมโหของชาวีอยู่แล้ว ทำให้มุขนี้สนุกขี้น
– กระท่อมกลางฝน
เป็นมุขที่เริ่มสูญพันธุ์ไปจากวงการละครบ้านเราแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะพื้นที่กระท่อมถูกแทนที่ด้วยคอนโดมิเนียมและห้างสรรพสินค้าหรือไม่? แต่โดยพื้นเพแล้วมุขดังกล่าวคือพระ-นางกำลังเดินในป่า ในทุ่ง หรือที่ไหนก็ตามที่มันใกล้โพ้น จู่ๆฝนตกครับ พระ-นางก็ต้องวิ่งไปหลบฝนที่ไหนซักแห่ง โชคดีเหลือเกินที่มันมีกระท่อมตรงนั้น ทั้งคู่ก็เลยได้มีโอกาสทำความเข้าใจและโจ๊ะพรึมพรึมไปในตัว โดยในบางเวอร์ชั่นนางเอกจะรู้สึกผิดในเช้าวันถัดมา เธอนอนร้องไห้ด้วยความเสียใจขณะที่พระเอกของเราออกไปยืนดูดบุหรี่นอกกระท่อมด้วยความภูมิใจ
น้ำตากามเทพเอาขนบนี้มาใช้ในตอนที่ 9 ครับ ละครล้อได้ตลกดีพระกระท่อมที่ทั้งคู่ไปอยู่นั้นมีไฟฟ้าและเตียงที่มีการปูผ้าอย่างดี มันดูดีเกินกว่าจะเป็นกระท่อมร้าง
– ตบจูบ
เป็นมุขละครไทยที่กระแสสังคมเริ่มตั้งคำถามแล้วถึงความเหมาะสม แต่ในทางกลับกันเมื่อพูดถึงละครบ้านเรานี่คือมุขที่คนจำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับวงการละครไทย 2 ใน 3 คู่ของน้ำตากามเทพมีการใช้มุขนี้อย่างหนักหน่วงโดยเฉพาะคู่ชาวี-อารยาที่ตัวชาวีประกาศเลยว่า “ฉันจะจูบเธอให้ปากระบม จนเธอไม่สามารถจูบใครได้อีก” ซึ่งกลายเป็นวรรคทองของซีรีส์เรื่องนี้ไปโดยปริยาย
– คู่กรรม
อันที่จริงไม่เชิงมุขหรอกครับ เพราะน้ำตากามเทพเขาเอาคู่กรรมทั้งเรื่องมาแซวเล่นๆโดยทดลองเล่าเรื่องคู่กรรมผ่านมุมมองของเพื่อนอังศุมาลินดูบ้าง เสียดายน่าจะล้อฉากสั่งเสียก่อนตายที่ทุกคนโจษจันกันว่ามันยาวนานเหลือเกิน (ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ได้ยาวขนาดนั้น แม้แต่ในวอร์ชั่นที่พี่เบิร์ดเล่น…แต่มันดูน่ารำคาญในสายตาหลายๆคน และอีกอย่างที่ทุกคนลืมนึกคือมันจะมีบางคนบอกว่า “ทำไมไม่ใช้เวลาคร่ำครวญไปตามหมอ?” ตามท้องเรื่องถ้าจำไม่ผิดคือยาหมดเกลี้ยงแล้ว ยังไงโกโบริก็ตายครับ)
– พระเอกโชว์แมน (ดูดพิษงู)
อันนี้ผมถือว่าเป็นมุขอัศวินขี่มาขาวที่กู้สถานการณ์ให้น้ำตากามเทพ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่กลับมาดูซีรีส์เรื่องนี้ต่อในตอนที่ 3 โดยมุขดังกล่าวจะล้อการโชว์แมนของพระเอกในละครไทยที่บุกเข้าไปช่วยนางเอกแบบทันทีทันใด แต่ไมไ่ด้ช่วยอย่างถูกต้องนั่นเอง ส่งผลให้ชาวีปากระบมสมใจ
ทำไมผมถึงไม่ชอบตอนแรกๆของซีรีส์?
อย่างที่บอกไปแล้วว่ามุขตลกในตอนแรกๆมันดูยัดเยียดไปหน่อย โดยยัดเยียดในที่นี้คือเหมือนพยายามใส่มุขลงไปให้มันตลกทั้งๆที่สถานการณ์มันไม่ได้นำพาไปหรือตัวมุขมันไม่ตลกอยู่แล้ว เช่นหนังสือ GPRS ชีวิตที่หญิงย่าอ่าน (ล้อเข็มทิศชีวิตนั่นเอง) การที่อารยานั่งคุยกับรูปปั้นกามเทพในสวนและบอกได้อย่างถูกต้องว่าใครคือเทพผู้สร้างคิวปิด การที่หญิงแม่ด่าหญิงย่ายาวๆ หรือการที่ชาวีกับอารยาเถียงกันเรื่องการปิดซ่อมถนน ณ แยกวัดแขก ทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าละครมันดูล้นไปหน่อยและไม่น่าติดตาม
แต่ในตอนหลังๆ เริ่มมีการนำขนบในละครไทยมาล้อมากขึ้น รวมถึงเอาอุปนิสัยตัวละครมาล้อในระดับที่เหนือจริง อาทิหมอแมะที่เป็นโรคกลัวผู้หญิงรวมถึงหวาดระแวงถึงขั้นขีดสุดว่าตัวเองจะเป็นเกย์เพราะเขาแอบรักไพโรจน์ หรือพิศาลที่เวลาตบชลลี่แต่ละทีจะมีการรีเพลย์ภาพการตบถึง 2 ครั้งในมุมกล้องที่ต่างกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างอารมณ์ขันในละคร ซึ่งถือว่าทำได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับสองตอนแรก…ส่วนตอนจบผมถือว่าน่าประทับใจมาก ฉากที่ชอบที่สุดคือตอนที่เรื่องของไพลินมีการหักมุม เธอเดินผ่านบ้านหลายๆหลังอันใหญ่โตโอ่โถง แต่ทุกหลังก็มีพระเอก นางเอก ตัวอิจฉา หญิงย่า และผู้หญิงที่ปลอมเป็นชายเหมือนกันทุกหลัง เห็นแล้วนึกถึงซีรีส์ Twilight Zone ในยุค 50’s และ 80’s เลยที่ตอนจบมันจะหักมุมแรงๆ หลอนๆแบบนี้ นี่ถ้าหมู่บ้านแบบนี้มีจริงๆจะเป็นยังไงนะ? จะมีการดักทำร้ายนางเอกผิดบ้านหรือเปล่า?
——————————
ท้ายที่สุดมันก็คงเหมือนกับที่หญิงแม่กระทำไว้ในตอนแรกของละครกระมัง รู้ทั้งรู้ว่าละครน้ำเน่าบ้านเราจะจบยังไงก็ยังจะประพฤติตัวตามหลักนางอิจฉาอีก มันคงไม่ต่างกับผู้ชมอย่างเราๆที่อาจมือถือสากปากถือศีลก็ได้ บ่อยครั้งที่เราเผลอเชียร์ฝ่ายธรรมะในละครทั้งๆที่เราก็ทำตัวไม่ต่างกับสมาพันธ์ตัวโกงเลยแม้แต่น้อย
แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันก็ไม่ได้มีแต่ขาวล้วน-ดำล้วนเหมือนในโลกละครหรอกครับ การกระทำบางอย่างมันไม่สามารถตัดสินได้ทันทีว่ามันถูกหรือผิด ทั้งนี้ย่อมต้องขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกและขนความเชื่อของแต่ละคน…ในทางกลับกัน โอกาสที่บ้านเราจะหลีกหนีจะละครน้ำเน่าและทำละครที่มีพัฒนาการตัวละครรวมถึงพล็อตเรื่องที่น่าสนใจแบบ Miami Vice, Space: 1999, Hill Street Blues หรือ Twin Peaks นั้นยังมีอยู่ บางทีมันไม่ใช่แค่ว่า “ทำไมอุตสาหกรรมถึงยังต้องทำละครน้ำเน่าออกมาตลอด?” แต่มันขึ้นอยู่กับว่า “ฐานผู้ชมมากพอให้ทำแบบนั้นหรือไม่?” ด้วย อย่าลืมว่ารายได้ของสิ่งเหล่านี้มาจากจำนวนโฆษณาที่แปรผันตรงกับอัตราเรตติ้ง
อย่างไรก็ตาม น้ำตากามเทพก็ถือว่ามีความกล้าในระดับหนึ่งที่จะนำเสนอขนบเดิมๆที่เราเห็นจนชินตาด้วยมุมมองที่ต่างออกไป ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากนักหรอกว่านี่คือซีรีส์ระดับทองคำขาวฝังเพชรเพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าผมไม่ประทับใจสองตอนแรกของซีรีส์เลย แต่สิ่งที่ผมชอบตั้งแต่ตอนที่ 3 เป็นต้นมาคือการเฉลยความลับตัวละครออกมาเรื่อยๆรวมถึงมุขตลกที่ฮาและเป็นธรรมชาติขึ้น ทำให้เราตามดูเรื่อยๆจนจบในที่สุด
————————————–
แถม: ชะตากรรมของไพลิน แบบหนัง Psycho
(ถ้าไม่เคยดู Psycho ให้ข้ามไปก่อนนะครับ…แต่ถ้าเคยดูแล้วหรือขี้เกียจหามาดูก็อ่านต่อเลย กับชะตากรรมของไพลินในอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้แรงบันดาลใจจากหนัง Psycho อย่าลืมเปิดเพลงนี้ประกอบด้วย)
ในวันเปิดอ่านพินัยกรรม ไพลินได้ทำการเฉลยตัวว่าเป็นทายาทที่แท้จริงของตระกูลอัมราภรณ์ ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งทายาทตัวจริงมาหาหญิงย่าเหมือนในละคร แต่ด้วยความตกใจและโมโหสุดขีด ไพลินตัดสินใจวางยาพิษให้แก่หญิงย่า ทายาทของตระกูลตัวจริงรวมถึงทุกคนในบ้านเพื่อปิดความลับไม่ให้แพร่งพราย ในเวลาต่อมาไพลินเกิดความกระอักกระอ่วนใจในที่สุดและตัดสินใจหนีออกจากคฤหาสน์ของตระกูลอัมราภรณ์
ระหว่างการเดินทางเธอรู้สึกอับอายกับการกระทำของตนเป็นอย่างยิ่งและเกิดความรู้สึกผิดมาตลอด โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบที่ขณะหลบหนีออกมาเธอบังเอิญหยิบวิกผม หนวด และชุดสีขาวประจำตัวที่เธอใช้ปลอมเป็นไพโรจน์รวมถึงเงินสดจำนวนหนึ่งออกมาด้วย…หลายปีผ่านไปมีเรื่องร่ำลือกันว่าไพลินหนีไปเปิดโรงแรมเล็กๆในแถบชนบท ด้วยความรู้สึกผิดประกอบกับความสับสนหลายประการทำให้เธอสวมชุดไพโรจน์บ่อยครั้งขึ้นเพื่อลบล้างความรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ไพลินที่ฆ่าหญิงแม่โดยไม่เจตนา แต่ตัวเองคือผู้ชายที่ชื่อไพโรจน์ต่างหาก อาการทางจิตของเธอกำเริบขึ้นเรื่อยๆจนไพลินและ”ไพโรจน์”สามารถโต้ตอบกันเองได้ราวกับเป็นคนละคน กล่าวกันว่าเมื่อใดก็ตามที่มีแขกผู้มาพักที่เป็นชายหนุ่มรูปงาม ไพลินจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ในคฤหาสน์อัมราภรณ์ จิตเบื้องลึกของเธอที่เป็น “ไพโรจน์” จะเกิดอาการหวาดกลัวและสั่งให้ไพลินใส่วิกผมและหนวดอีกครั้งเพื่อสังหารเหยื่ออย่างเลือดเย็นเพื่อขจัดปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนี้ใครก็ตามที่รู้ความลับดังกล่าวแล้วไปป้วนเปี้ยนแถวโรงแรมละก็…รอดยากครับ แต่เคราะห์ดีที่ชาวบ้านละแวกนั้นไม่รู้เรื่องราวอะไรมากและทุกวันนี้ทุกคนยังเชื่อว่าโรงแรมดังกล่าวมีเจ้าของสองคนคือหญิงสาวผู้น่ารักชื่อ”ไพลิน” และชายหนุ่มปริศนาผู้ไม่เคยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงนาม “ไพโรจน์” นั่นเอง