แม้ละครจะยังไม่จบดี แต่ผมเห็นสมควรแล้วว่าถึงเวลาที่เราจะมาวิเคราะห์ละครสุดฮิตอย่าง “แรงเงา” เพราะแม้รอบแรกๆที่ผมดูจะรู้สึกว่ามันน้ำเน่าไปหน่อย แต่หลังจากที่ผมลองประมวลข้อมูลบางอย่างออกมา ผมพบว่าละครเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
พล็อตเรื่อง
พล็อตเรื่องในครึ่งแรกดูจะเป็นที่น่ารำคาญของใครหลายๆคนมากๆ เพราะมีข้อสังเกตว่ามุตตายังดันทุรังคบกับผ.อ.ทั้งๆที่มีคนเตือน มีคนแดกดันและโดนเมียหลวงทำร้ายมาแล้ว ผมมองว่าเธอเป็นคนซื่อสัตย์กับความรักมาก…มากจนเป็นอันตรายกับตัวเธอเอง เพราะเธอคิดว่าผ.อ.มีแค่มุตตาคนเดียว ทั้งๆที่ความจริงไม่ใช่ (ใครจะไปรู้ ถ้ามุตตาไปเจอผู้ชายดีๆซักคนที่รักจริงและซื่อสัตย์ เขาและเธอน่าจะใช้ชีวิตได้ดีและมีความสุขมากๆเลยล่ะ) และเนื่องด้วยยุคนี้ที่ไร้พรมแดนในด้านการสื่อสาร การติดตามข้อมูลและการแจ้งเตือนต่างๆนี่เองที่ทำให้มุตตาดูเป็นตัวละครที่คนดูรำคาญไปในที่สุดเพราะไม่ใช่ว่าเธอไม่ยอมรับข้อมูลเหล่านี้ แต่เธอไม่คิดจะรับมันเลยต่างหาก เช่นตอนที่เธอไม่ทันระวังตัวและถูกถ่ายคลิปในที่สุดจนทำให้เพื่อนๆหายไปจากชีวิตของเธอ หรืออย่างน้อยที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าผ.อ.นั้นเจ้าชู้ เธอก็ควรจะลองศึกษาข้อมูลต่างๆในอินเตอร์เน็ตหรือคนรอบข้างดูบ้างเพื่อหาวิธีป้องกันตัวจากบุคคลเหล่านี้
แต่ในช่วงครึ่งหลังนี่เองที่ผมรู้สึกว่าพล็อตมันเหมือนหนังแนวล้างแค้นของฝรั่งเรื่องนึงคือ “Foxy Brown” (นำแสดงโดย Pam Grier) หนังเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ต้องการล้างแค้นหลังคนรักของเธอถูกยิง โดยการปลอมตัวเป็นหญิงขายบริการเพื่อสอดแนมเกี่ยวกับองค์กรร้ายที่มีส่วนรู้เห็นกับการตายของแฟนเธอ แน่นอนว่าแรงเงากับ Foxy Brown นั้นไม่เหมือนกัน (เพราะอันนั้นมันหนังแอ็คชั่น) แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง “มุนินทร์” กับ Foxy Brown คือทั้งคู่ยอมเอาเรือนร่างเข้าแลกเพื่อล้างแค้นให้กับ”ผู้บริสุทธิ์”คนหนึ่งที่ถูกทำร้าย ซึ่งพล็อตแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยในละครไทย…อย่างน้อยก็เท่าที่ผมเห็นนะ
บทพูดของเวอร์ชั่นนี้เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนจะดูสนุก มันส์และฮากว่ามากในบางฉาก แม้หลายๆฉากจะดู”จงใจ”เขียนบทเพื่อให้เป็นประโยคติดปาก เช่น”พันธมิตรเมียน้อย-สก๊อยส์เมียหลวง” ซึ่งอาจทำให้คนที่ไม่ได้ดูละครเรื่องนี้คิดว่ามันปัญญาอ่อน แต่เอาเข้าจริงก็อย่างที่คุณเห็นน่ะครับ นี่แค่ตัวบทอย่างเดียวเรายังหาอะไรมาวิเคราะห์ได้ขนาดนี้เลย
สถานที่
ในที่นี้ขอพูดถึงแค่ตัวกระทรวงอย่างเดียว เพราะผมรู้สึกว่านี่คือ Happy Workplace ที่น่าอยู่มากกว่าสตูดิโอหนัง Pixar (ที่ติดอันดับโลกในเรื่องนี้)ด้วยซ้ำ…สาวๆได้นั่งเม้าท์มอย หนุ่มๆตาลอยจ้องสาวอีกที แถมยังมีคนใจดีมาสั่นกระดิ่งเตือนให้ทำงานเมื่อเราเผลออีก เมื่อผสมผสานกับบรรยากาศภายนอกที่ร่มรื่นราวกับร้านอาหารแล้ว ผมว่านี่แหละคือที่ทำงานในฝันของหลายๆคนจริงๆ
แต่หากมองในมุมกลับกัน นี่อาจเป็นการจิกกัดวงการราชการไทยเพราะสิ่งที่ผมสะท้อนมาข้างต้นอาจเป็นการบ่งชี้ถึงปัญหา “เช้าชามเย็นชาม” ของวงการข้าราชการไทยที่ทำงานแบบไม่จริงจัง ต้องมีคนมากระตุ้นตลอดเวลา ซึ่งถ้าเกิดเป็นการเสียดสีจริงๆผมถือว่าร้ายและแนบเนียนมาก เพราะน้อยคนนักที่จะ”จับ”ประเด็นนี้ได้เนื่องจากมีพฤติกรรมของตัวละครมากลบสิ่งเหล่านี้
ตัวละคร
ได้เวลาแล้วครับที่เราจะมาพูดถึงตัวละครต่างๆในเรื่องนี้ ตามมุมมองของผมเอง ซึ่งแน่นอนว่าผมคงไม่มีเวลามากพอจะมานั่งวิเคราะห์ทุกตัว จึงเลือกแต่ตัวที่พอจะหาแง่มุมบางอย่างได้ เริ่มจาก…
1)ปริม (แสดงโดย ณัฏฐพัชร วิพัธครตระกูล)
ถือเป็นตัวร้ายที่มีคนเชียร์มากกว่านางเอก(มุตตา)ด้วยซ้ำ เนื่องด้วยตัวปริมเองมีหน้าตาน่ารักและเธอก็ปากหมาได้อย่างร้ายกาจในเวลาเดียวกัน สังเกตได้จากหลายๆตอนของละครนี้ที่บทพูดของเธอจะถูกดูดเสียงออกไปด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง จะว่าไปการที่เธอพูดตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซากนี่ดีอย่างนึงนะ คือเป็นการชี้เป้าปัญหาให้เห็นกันจะๆไปเลย แม้เจตนาจริงๆของเธอคือต้องการขจัดมุตตาไปจากชีวิตวีกิจ(พระเอก-ไม่อยากพูดถึงเพราะรู้สึกว่ามันหล่อกว่าผม)ก็ตาม แต่นั่นก็หลายเป็นข้อเสียไปด้วยเพราะอย่างที่พระเอกพูดถึงการซ้ำเติมคนอื่นว่าเราควรคิดถึงใจเขา-ใจเราเสียบ้าง แน่ละ…คนดูส่วนใหญ่คงอ้วกกับประโยคนี้เพราะเรารู้เหตุการณ์ทั้งหมดในละครแล้ว แต่อย่าลืมว่าจากมิติของตัวละครในเรื่องนั้นยังไม่มีใครรู้อะไรมากไปกว่าสิ่งที่มุตตาพูด ณ ตอนนั้น ปริมจึงตกเป็นจำเลยในข้อหาการยั่วยุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกสิ่งที่ขอพูดถึงเกี่ยวกับปริมคือพฤติกรรมการบริโภคสินค้าของเธอที่เด่นชัดมาก โดยเฉพาะในตอนแรกๆที่ทำให้เราได้รู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับหน้าตามากกว่าความคิดและการกระทำ โดยเธอเลือกที่จะจ่ายเงินเพื่อแลกกับความงามบนใบหน้ามากกว่าการรู้กาละเทศะในการพูด เธอจึงอาจเป็นตัวแทนของ stereotype ของสาวออฟฟิศสมัยใหม่ในปัจจุบันด้านการบริโภคความงามก็ว่าได้…และด้วยความที่ตอนนี้ผมเรียนมาร์เก็ตติ้งอยู่ด้วยจึงทำให้เธอเป็นหนึ่งในสองตัวละครจากละครที่ผมอยากสัมภาษณ์มากที่สุด โดยอีกบุคคลที่ผมอยากคุยด้วยคือ
2)อรพิม (แสดงโดย ลิลลี่ แม็คกร๊าธ)
หลังจากเราไปดู”สก๊อยเมียหลวง”มาแล้ว คราวนี้เรามาดู”พันธมิตรเมียน้อย”กันบ้าง จะว่าไปแล้วเธอก็น่ารักและมีอุปลักษณนิสัยคล้ายๆกับปริม (เช่นพูดจาตรงไปตรงมาจนโดนดูดเสียงบ่อยไม่แพ้กันหรือสนใจในเพศตรงข้ามแบบออกหน้าออกตา) แต่ตัวละครตัวนี้กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร คาดว่าน่าจะเป็นเพราะอยู่ฝั่งนางเอกจึงทำให้ไม่ได้รับการจดจำเท่าที่ควรนัก
อุปนิสัยอีกอย่างที่ดีของอรพิมที่ผมชอบคือรักเพื่อน โดยในตอนแรกๆที่เธอยังไม่เห็นคลิปสมุยของจริง เธอจะปกป้องมุตตาอย่างเต็มที่ไม่ว่าปริมกับแก๊งเซลส์(วู้)แมนจะตามมาเยาะเย้ยถึงถิ่นก็ตาม แต่เธอก็รักเพื่อนในอัตราที่เหมาะสม ไม่บีบน้ำตาฟูมฟายจนเป็นที่เอือมระอาของคนดูเหมือนรัชนก เชื่อว่าตัวละครตัวนี้ยังมีอะไรให้ติดตามต่อไป
อีกสิ่งที่ขอพูดตรงนี้คือ อรพิมเป็นตัวละครในเรื่องที่ไม่มี twitter เลย…twitter จริงๆของคุณลิลลี่ก็เหมือนจะไม่มี แถม fansite ของเธอยังโดนแย่ง web domain ไปอีก แต่ยังดีที่หลายๆเว็ปยังเก็บภาพเธอตอนแข่ง AF ไว้ ทำให้ผมได้รู้ว่าก่อนที่เธอจะมาเป็นเลขาสาวผมบ๊อบแบบ Uma Thurman ใน Pulp Fiction เธอเคยเป็นสาวพังค์มาก่อน ว้าว!
3)นพนภา (แสดงโดย ธัญญาเรศ เองตระกูล)
จากอดีตนางเอกวัยรุ่นหน้าใส สู่การเป็นเมียหลวงชื่อดังในละครเรื่องนี้ (และเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ผมจะพยายามไม่พูดถึงกรณีในชีวิตจริงของเธอนะครับ ไม่รู้พูดแล้วได้อะไรขึ้นมา) ใครที่ไม่ได้ดูละครเรื่องนี้ก็อาจคิดว่าเธอนี่แหละคือศูนย์กลางแห่งความถูกต้องทั้งปวงในละครเรื่องนี้ แต่โชคดีที่ผู้เขียนบทให้เธอมีพฤติกรรมที่ขี้หึงและวางระเบียบเข้มงวดกับทุกคนในบ้าน ซึ่งผมมองว่าข้อหลังนี่แหละที่ทำให้พฤติกรรมในบ้านต้องการปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์เหล่านี้ด้วยวิธีที่ไม่ชอบมาพากล เช่นสามีเองก็หาเมียน้อยไปเรื่อยๆ ลูกชายเป็นเกย์ ลูกสาวคนโตติดยา ลูกสาวคนเล็กพูดจาแก่แดด…ซึ่งผมเข้าใจว่าทั้งหมดนี้มาจากความต้องการปลดปล่อยตัวเองจากกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดและสภาพครอบครัวอันโหดร้ายไปสู่สิ่งที่ตัวเองมองว่าเป็นความสุข แม้จะไม่อยู่ในทางที่ถูกต้องนัก
นอกจากนี้นพนภายังมีจุดหนึ่งที่น่าสังเกตคือดุเดือดกับลูกหนี้มากๆ ถึงขนาดมีการรุมทำร้ายกันเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อปัจจัยนี้มารวมกับปัจจัยที่ผมกล่าวไว้ข้าวต้น…ก็หายสงสัยเลยครับว่าทำไมครอบครัวเธอถึงได้รักใคร่ปรองดองเพียงนั้น (จริงๆอาจไม่ใช่ความผิดเธอคนเดียว แต่ถ้าจะบอกว่าเธอไม่เกี่ยวเลยก็คงไม่ใช่)
การโปรโมตละคร
นอกเหนือจากการยิงสปอตทางสถานีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ละครเรื่องนี้มีคนดูเพิ่มขึ้นหลายร้อยหลายพันคน (รวมถึงผมด้วย แหะๆ) ก็คือ Social Network นี่แหละ เพราะละครมันจะออกอากาศหลังทุกคนเลิกงานแล้ว ผู้ชมส่วนใหญ่จึงดูไปทำกิจกรรมอย่างอื่นรวมถึงเล่น facebook/twitter ไปด้วย…ทีนี้พอยิ่งบอกว่าละครมันมีตบกัน ละครมันมีประโยคตลกๆ ละครมีนางเอกที่ไม่รู้ทันคนเลย คนที่ไม่เคยและอาจไม่คิดดูก็คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่และไปดูกันบ้าง เพื่อหาข้อพิสูจน์ว่าทำไมมันถึงได้กินเนื้อที่หน้า feed ในสังคมออนไลน์ทั้งสองแห่งนี้
ถือได้ว่า”แรงเงา”เป็นตัวอย่างที่ดีของการโปรโมตละครโดยไม่ต้องซื้อสื่อให้มากมาย เพราะถ้าละครคุณสามารถทำให้คนดูพูดถึงกันมากๆในสังคมออนไลน์(ดังเช่นที่รายการ The Voice ทำสำเร็จ)…เชื่อเหอะว่าจะมีคนดูจำนวนมากที่เข้ามาพิสูจน์กระแสละครเรื่องนี้จนถึงขั้นเสพติดในที่สุด
———————————–
พอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนนะครับ เพราะละครมันยังไม่จบ ผมก็ยังมีธุระประปังให้ต้องสะสางอีก…ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากเราจะมาสรุปกันอีกทีในตอนท้าย เพื่อดูว่าผลลัพธ์มันแตกต่างจากสิ่งที่ผมเขียนมากน้อยเพียงใด
ขอจบห้วนๆแบบนี้ก่อนนะครับ
To be continued…